Skip to main content
ไหว้สุสาน-22-ธ.ค

สุสานโปษยานนท์

ไหว้สุสาน 22 ธ.ค. 58_730

สุสานโปษยานนท์

ภายหลังจากที่ท่านเจ้าสัวล่อแชได้เข้ามาทำมาหากินในประเทศไทย จนตั้งฐานะได้เป็นปึกแผ่นแล้ว ท่านได้ตกลงใจจะฝักรกรากอยู่ในเทศไทยไม่กลับประเทศจีน แม้ในสมัยนั้น ชาวจีนจะนิยมนำศพกลับไปฝังประเทศจีนก็ตาม แต่ท่านเจ้าสัวล่อแชอยากจะให้ลูกหลานซึ่งเกิดในประเทศไทยตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยได้มีโอกาสเซ่นไหว้ เพื่อแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษอย่างสะดวกและเป็นคนไทยเต็มบริบูรณ์ จึงได้ดำริสร้างที่ฝังศพในประเทศไทย โดยสั่งซินแส (ผู้รู้) มาจากประเทศจีน ซึ่งเห็นจะเป็นเพราะไม่มีผู้รู้ที่พอไว้ใจได้ในประเทศไทยในขณะนั้น อนึ่งการสร้างที่ฝังศพ ซึ่งจีนเรียกว่า “ฮวงจุ้ย” นี้ ต้องดูที่สร้างให้ถูกต้องตามลักษณะ ประเพณีจีนถือว่า ถ้าสร้างฮวงจุ้ยถูกต้องตามลักษณะ ลูกหลานจะเจริญ ถ้าสร้างไม่ถูกลูกหลานจะตกอับ ฮวงจุ้ยแปลตามศัพท์ได้แก่ลมบวกด้วยน้ำ (ฮวง = ลม, จุ้ย = น้ำ) หมายความว่าต้องสร้างในที่ๆ ถูกต้องด้วยทางน้ำ และทิศลมตามตำรา และยังมีคำกล่าวว่าต้องมีภูเขาอยู่ข้างหลังด้วย เป็นความหมายว่า มีภูเขารับอยู่เบื้องหลังตระกูลจะไม่ล้ม เพราะมีภูเขายันไว้ มีน้ำอยู่ด้านหน้าซึ่งมีความหมายว่า ทรัพย์สินเงินทองจะไหลมาเทมา ส่วนถูกทิศลมหมายความว่า ตระกูลจะอยู่เย็นเป็นสุข

ซินแสที่สั่งเข้ามานี้ชื่อ จินเต็ก ซินแสให้ไปสำรวจที่จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดระยอง (เห็นจะเป็นภูมิประเทศมีภูเขา) แต่ไม่พบที่ๆ ถูกใจ ขากลับได้เดินทางผ่านมาทางจังหวัดชลบุรี และพักอยู่ที่บ้านของตระกูลสิงคารวานิช เพราะตระกูลนี้กับตระกูลโปษยานนท์รักใคร่สนิทสนมกันดังจะกล่าวในตอนหลัง ซินแสทำการสำรวจที่จังหวัดชลบุรีอีก ไปพบที่แห่งหนึ่งในตำบลหัวโกรก ที่แปลงนี้อยู่ในป่า ห่างตัวจังหวัดหลายกิโลเมตร เวลานั้นไม่มีถนน ซินแสต้องบุกป่าไป ได้ตรวจดูทำเลที่แปลงนี้แล้ว เป็นที่ต้องใจอย่างยิ่ง ซินแสจึงปักใจลงแน่วแน่ว่าจะต้องให้สร้างฮวงจุ้ยในที่แปลงนี้ จะหาที่ใดที่ได้สำรวจมาแล้ว ทั้งสามจังหวัดดีเท่าที่แปลงนี้หาได้ไม่

แต่คนที่รู้เรื่องสร้างฮวงจุ้ยเท่าซินแสยังมีอยู่ ปรากฏว่าที่ๆ พบนี้ ไม่ใช่ที่ว่างเปล่า แต่มีชายคนหนึ่งชื่อจีนเก่ง ได้จับจองทำไร่และนาอยู่ในที่แปลงนี้แล้ว สอบถามได้ความว่า จีนเก่งไม่มีความประสงค์จะขาย เพราะที่อุตส่าห์เข้าไปอยู่ในป่าเช่นนั้น ก็เพื่อจับจองที่แปลงนี้ไว้สำหรับฮวงจุ้ยของตนเอง ร้อนถึงต้องหาผู้ใหญ่ที่จีนเก่งเกรงใจไปเจรจา จึงตกลงกันได้ โดยจีนเก่งขอข้อไขว่า ถ้าจีนเก่งถึงแก่กรรม ทางฝ่ายท่านเจ้าสัวล่อแชจะต้องจัดการฝังศพของจีนเก่งไว้ในที่แปลงนี้ด้วย และก็ได้ฝังจีนเก่งในที่แปลงนี้ตามสัญญา ซึ่งทางฝ่ายตระกูลโปษยานนท์ได้ไปไหว้ฮวงจุ้ยจีนเก่งทุกปี ในเมื่อไปไหว้ฮวงจุ้ยท่านเจ้าสัวล่อแช

เมื่อเรื่องที่เรียบร้อยแล้ว ซินแสจินเต็ก จึงลงมือทำการก่อสร้างฮวงจุ้ย เพื่อเตรียมไว้สำหรับฝังท่านเจ้าสัวล่อแช ท่านผู้อ่านคงจะนึกภาพได้ว่าการก่อสร้างในป่าเช่นนี้ ต้องลำบากยากยิ่งเพียงไร ในการก่อสร้างนี้มีเรื่องที่เล่าสู่กันฟังมาเป็นทอดๆ ในตระกูลโปษยานนท์หกเรื่องคือ

เรื่องที่หนึ่ง ในการวินิจฉัยว่าจะวางตัวฮวงจุ้ยที่ตรงไหนในที่แปลงนี้ จะเป็นเพื่อทดลองภูมิหรืออะไรก็แล้วแต่ ซินแสได้ตามจีนเก่งว่าตัวจีนเก่งได้กะไว้จะฝังตนเองที่ตรงไหน จีนเก่งได้ขี้โม้ กล่าวกันว่าซินแสถึงกับนิ่งอึ้ง เพราะเป็นที่ๆ ซินแสเองกำหนดไว้ในใจไม่ผิดพลาด แต่เห็นจะเป็นเพื่อรักษาภูมิ ซินแสได้โต้แย้งว่าไม่ถูกทีเดียว ต้องขยับนิดหน่อย ผลของการขยับมีผู้รู้กล่าวว่าทำให้ลูกหลานของท่านเจ้าสัวล่อแชบางสายไม่เจริญเท่าที่ควร แต่นี่ก็เป็นแค่คำกล่าวเท่านั้น

img_3082
เรื่องที่สอง หน้าตรงที่ๆ สร้างฮวงจุ้ยนี้มีลำธารเล็กๆ อยู่สายหนึ่ง ตั้งแต่แรกจนบัดนี้เป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว มีน้ำในลำธารนี้มีไหลอยู่เสมอตลอดปี ไม่เคยแห้งเลย แม้จะเป็นลำธารที่เล็กและไม่ลึก น้ำในลำธารนี้ก็ใสสะอาด แต่อุปโภคบริโภคไม่ได้ เล่ากันว่าในระหว่างก่อสร้างฮวงจุ้ย ขั้นแรกใครลงไปอาบหรือรับประทานน้ำในลำธารนี้ไม่ได้ โดยอาบแล้วเป็นผื่นคัน รับประทานแล้วมึนเมา ทั้งนี้เป็นอุปสรรคแก่การก่อสร้างอย่างยิ่ง หากแก้ไม่หายก็หมดหวังที่จะหาคนงานมาทำการก่อสร้างได้ ใกล้ที่นั้นมีศาลเจ้าเจียวกัวแป๊ะ ซึ่งเป็นที่นับถือของคนแถบนั้น ผู้รู้เล่าว่า ศาลเจ้าเจียวกัวแป๊ะนี้มีทุกจังหวัดที่มีคนจีนอาศัย ไปทำมาหากิน ซินแสหรือผู้แทนได้ไปขอให้คนทรงเข้าทรงเจ้าเจียวกัวแป๊ะ เจ้าเจียวกัวแป๊ะรับแก้ไขให้ โดยเอาขี้ธูปในกระถางธูปหน้าที่บูชาไปโรย เล่ากันว่า เมื่อโรยแล้ว อาบและรับประทานน้ำในลำธารนั้นได้ ไม่เป็นผื่นคันและไม่มึนเมา พวกตระกูลโปษยานนท์ เวลาไปไหว้ฮวงจุ้ยท่านเจ้าสัวล่อแช ได้แวะไหว้เจ้าเจียวกัวแป๊ะเสมอ

เรื่องที่สาม ประเพณีมีว่าในระหว่างก่อสร้างฮวงจุ้ย ใครจะเรียกชื่อซินแสซึ่งควบคุมก่อสร้างนั้นไม่ได้ ซินแสจะต้องถึงแก่กรรม มีคนงานคนหนึ่งไม่เชื่อและอยากจะทดลอง เย็นวันหนึ่งได้ขึ้นไปยืนบนกองดิน ตะโกนเรียกชื่อซินแสว่า “จินเต็กๆ” สามคำ จะเป็นเพราะอะไรก็ไม่สามารถยืนยันได้ อาจเป็นเพราะซินแสกำลังใจเสียก็เป็นได้ ซินแสได้ล้มเจ็บตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซินแสได้สั่งไว้ว่า เมื่อถึงแก่กรรมลงขอให้เอาศพฝังไว้ในที่ตอนใดตอนหนึ่งในที่แปลงนั้นด้วย เจ็บสักเดือนหนึ่งซินแสก็ถึงแก่กรรม และได้ฝังไว้ในที่แปลงนั้นดังที่ขอร้อง จึงเป็นที่ฝังศพอีกแห่งหนึ่งที่ตระกูลโปษยานนท์ไปไหว้ด้วย

เมื่อท่านเจ้าสัวล่อแชและคุณอิ่มภริยาถึงแก่กรรม ก็ได้นำศพท่านทั้งสองไปฝังไว้ ณ ฮวงจุ้ย ตำบลหัวโกรกที่เตรียมสร้างไว้แล้วนี้ คุณหลวงวารีราชายุกต์ (โป๊) ซึ่งเป็นบุตรชายและเป็นผู้สืบตระกูลได้ออกไปเซ่นไหว้ตามประเพณีปีละครั้ง เสมอมาทุกปีมิได้ขาด และนำบุตรชายของท่านเองไปด้วยทุกครั้ง เพื่อจะได้รับช่วงต่อไปในเมื่อท่านถึงแก่กรรมแล้ว ได้กล่าวไว้แล้วในประเพณีการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ (สุสานโปษยานนท์)

เรื่องที่สี่ เมื่อครั้งที่ พ.อ.ต.พระยาพิพัฒนธนากร ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2497 ก็ได้ตั้งโกศพระราชทานบรรจุศพท่านที่บ้านโบสถ์ เพื่อทำพิธีทางศาสตร์ อุทิศส่วนกุศลให้ท่าน แล้วจึงเคลื่อนศพของท่านไปสุสานโปษยานนท์ ที่จังหวัดชลบุรี ซึ่งชาวจังหวัดชลบุรีได้ออกมาเคารพศพท่านตลอดทาง เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2497 และได้ตั้งศพท่านเพื่อบำเพ็ญกุศลที่ศาลาในสุสานฯ ในเช้าวันที่ 17 ตุลาคม 2497 ให้เคลื่อนศพท่านไปตั้งที่ฮวงซุ้ยของท่าน เพื่อเตรียมบรรจุตามธรรมเนียมจีน ซินแสได้บอกว่า เพื่อความเป็นมงคลของวงศ์ตระกูล จะต้องรอให้มีสีขาวและสีแดง ปรากฏให้เห็นก่อน จึงจะทำพิธีบรรจุได้ รออีกไม่นานก็ได้มีกระบือเผือกวิ่งผ่านมาและอีกไม่นานต่อมาก็ได้มีรถเก๋งสีแดงของท่านผู้หญิงละเอียดพิบูลสงคราม (ภรรยาอดีตนายกรัฐมนตรี ป.พิบูลสงคราม) ได้เดินทางเข้าร่วมพิธีด้วย ซินแสจึงได้เริ่มพิธีบรรจุศพทันที เป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์อีกเรื่องหนึ่งที่ได้ตรวจสอบชาวบ้านใกล้เคียงแล้ว ไม่มีใครเลี้ยงและเห็นกระบือสีขาวในบริเวณนั้นเลย

เรื่องที่ห้า ในการบูรณะฮวงจุ้ยของหลวงวารีราชายุกต์ (โป๊) คนงานได้ขุดพบถ้วยชามสมัยโบราณ บริเวณใกล้ที่บรรจุศพ และได้นำเอามากองไว้ข้างนอก โดยมิได้บอกกล่าวเจ้าของ ตอนกลางคืน ระหว่างที่คนงานนอนพักผ่อนที่ศาลาได้เห็นคนจีนไว้ผมเปียยาว นั่งอยู่นอกมุ้ง รุ่งเช้าจึงได้กลับไปไว้ที่เดิม พร้อมทั้งจุดธูปขอขมา

เรื่องที่หก หลังจากปรับปรุงบ่อน้ำ 2 บ่อ หน้าฮวงจุ้ยหลวงวารีราชายุกต์ และท่านเจ้าคุณพิพัฒนธนากรให้เป็นบ่อใหญ่บ่อเดียว โดยคำแนะนำของซินแส ขณะคุณธะเรศกำลังปรึกษากับผู้รับเหมาถึงการปรับปรุงกันขอบบ่อทะลายเนื่องจากพื้นที่เป็นดินทราย ในเวลาค่อนถึงเย็นแล้วก็มีรถยนต์ของกรมพัฒนาที่ดินขับมาจอดที่ด้านหน้าฮวงจุ้ยของหลวงวารีราชายุกต์ โดยเจ้าหน้าที่ที่มาด้วยได้เสนอให้หญ้าแฝกประมาณ 20,000 ต้น และจะจัดคนมาแนะนำวิธีการปลูกให้ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกมากมายที่มิได้นำมาบรรยาย ณ ที่นี้ เรื่องทั้งหมดอาจจะเน้นเรื่องของการ “บังเอิญ” ก็ได้ ขอให้ผู้อ่านได้ใช้วิจารณญาณเอาเอง

จังหวัดชลบุรีและจังหวัดพระนครในขณะนั้น ไม่มีถนนติดต่อกันเช่นปัจจุบัน ซ้ำในตอนแรกๆ เรือยนต์เรือไฟเดินเมล์ก็ไม่มี การเดินทางคือต้องไปโดยเรือแจวบ้างเรือใบบ้าง เมื่อถึงตัวจังหวัดแล้ว ก็ยังต้องเดินทางเข้าไปในป่าโดยเกวียนบ้างม้าบ้างเดินเท้าบ้าง แต่ทุกคนก็มิได้นึกถึงความลำบาก ยังคงยึดมั่นในประเพณีการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษโดยสม่ำเสมอตลอดมา นับว่าเป็นโชคอันประเสริฐของตระกูลโปษยานนท์อยู่อย่างหนึ่งที่ “ตระกูลสิงคาลวณิช” อันเป็นตระกูลใหญ่ของจังหวัดชลบุรีกับตระกูลโปษยานนท์รักใคร่นับถือดุจญาติ ดังจะเห็นได้สืบเนื่องมาจนปัจจุบันนี้ คือ คุณหลวงบำรุงราชนิยม (สุ่นเป็ง สิงคาลวณิช) ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ของตระกูลสิงคาลวณิชได้ให้ความเอื้อเฟื้อในการไปไหว้ฮวงจุ้ยตลอดมา มีการให้ที่พัก จัดเครื่องเซ่น จัดพาหนะให้ตามความจำเป็น แม้ในการนำศพท่านเจ้าคุณพิพัฒนธนากรมาฝัง ก็ได้ให้ความกรุณาเช่นเคย พระคุณเหล่านี้สมควรบันทึกไว้ เพื่อตระกูลโปษยานนท์รุ่นหลังจะได้ทราบทั่วกัน เรื่องราวต่างๆ ที่เขียนนี้ แม้จะได้มีการเล่ากันมาเป็นทอดๆ ก็ดี แต่ที่ได้ละเอียดและถี่ถ้วน ก็โดยคุณหลวงบำรุงราชนิยมท่านได้กรุณาทบทวนให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง

ตามประเพณี การเซ่นไหว้ฮวงซุ้ยกระทำกันในวันเช็งเม้ง (ตรงกับวันที่ 5 เมษายน) หรือวันสารทตังเจ้ย (ตรงกับวันที่ 22 ธันวาคม หรือถ้าปีใดมี 366 วันก็ตรงก็ตรงกับวันที่ 23 ธันวาคม ไทยเรียกสารทจีนนี้ว่าสารทขนมอี๋) ส่วนมากถือเอาวันเช็งเม้ง ดังจะเห็นได้จากชาวจีนไปไหว้ที่ฝังศพที่วัดกันในตอนวันนั้นอย่างหนาแน่น ทางตระกูลโปษยานนท์ถือเอาวันสารทตังเจ้ย เพราะก่อนๆ การเดินทางไปจังหวัดชลบุรีต้องไปโดยเรือแจวเรือใบดังกล่าวแล้ว วันเช็งเม้งเป็นฤดูที่ทะเลมีคลื่น ไม่สะดวกแก่การเดินทาง ส่วนวันสารทตังเจ้ยเป็นฤดูที่คลื่นลมสงบ แม้เมื่อมีถนนกิ่งจังหวัดชลบุรีแล้วนี้ ก็ยังคงถือวันเดิมต่อไป

ต่อมาในสมัยหลวงวารีราชายุกต์ (โป๊) ท่านได้ดำริเห็นว่า ถ้าหากไม่เอาศพท่านไปฝังไว้กับท่านบิดามารดาแล้ว ต่อไปลูกหลานซึ่งไม่รู้จักและไม่เคยเห็นท่านบิดามารดาของท่าน ก็อาจจะละเลยไม่ไปเซ่นไหว้ท่านบิดามารดาของท่านต่อไปตามประเพณี เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวอีกเปลาะหนึ่ง ท่านจึงได้จัดให้สร้างฮวงจุ้ยสำหรับท่านและเสงี่ยมภริยาขึ้น ในการนี้ได้สั่งซินแสมาจากประเทศจีนเช่นเดียวกัน ซินแสผู้นี้ชื่ออะไรไม่มีใครจำได้ ซินแสเลือกได้ที่ตำบลหนองเสือตาย จังหวัดชลบุรี ซึ่งไม่ไกลฮวงจุ้ยยท่านบิดามารดากี่มากน้อย ที่ต้องเลือกที่ใหม่เห็นจะเป็นเพราะพื้นที่มีที่เหลือพอจะสร้างได้อีก หรือมีเหลือพอก็ไม่ถูกลักษณะ อย่างใดอย่างหนึ่ง การเลือกที่คราวนี้ไม่ลำบากเช่นคราวก่อนเพราะท่านแสดงความประสงค์ว่าจะต้องใกล้กับฮวงจุ้ยท่านบิดามารดา เพื่อให้การสร้างฮวงจุ้ยและฝังท่านได้ผลในทางลูกหลานมาไหว้ได้สะดวก ฮวงจุ้ยท่านบิดามารดาดังกล่าวแล้ว เมื่อท่านและเสงี่ยมภริยาถึงแก่กรรมก็ได้นำมาฝังไว้ ณ ฮวงจุ้ยนี้

เมื่อคุณหลวงวารีราชายุกต์ (โป๊) ล่วงลับไปแล้ว ท่านเจ้าคุณพิพัฒนธนากรได้ปฏิบัติตามประเพณีโดยไปเซ่นไหว้ตลอดมาทุกปีไม่เคยขาด เว้นแต่ปีเดียวซึ่งท่านติดราชการไม่สามารถปลีกตัวไปได้จึงได้ให้ลูกชายไปแทน ท่านเจ้าคุณพิพัฒนธนากรก็ดำริเช่นเดียวกับท่านบิดา จึงได้สั่งไว้ให้ฝังศพท่านที่ฮวงจุ้ย ตำบลหนองเสือตาย นอกจากนี้ เพื่อให้เป็นการผูกมัดลูกหลานยิ่งขึ้นท่านได้จัดสร้างที่บรรจุกระดูกขึ้น นำเอากระดูกบรรพบุรุษเท่าที่มีอยู่และกระดูกของนายฮง โปษยนานนท์ พี่ชายท่านมาบรรจุไว้ และเมื่อนางสาวสังวาลย์ โปษยานนท์น้องสาวท่านถึงแก่กรรม ท่านก็ได้สร้างสถานที่และนำศพมาบรรจุไว้เช่นกัน เมื่อยังมีชีวิต ท่านเคยปรารภว่าท่านสิ้นลงเมื่อใด ขอให้ได้อยู่ใกล้ท่านบิดามารดาและสนองต่อคุณท่านต่อไป

มีฮวงจุ้ยอีกสามแห่งที่พวกตระกูลโปษยานนท์ต้องรวมไปเซ่นไหว้เป็นการประจำปีคือ ฮวงจุ้ยที่ริมคลองบางปลาสร้อย (ข้างสถานีตำรวจในตัวจังหวัด) จะเป็นฮวงจุ้ยใคร ไม่มีผู้รับทราบ คุณหลวงบำรุงราชนิยมทราบแต่ว่าเป็นญาติทางนางวารีราชยุกต์ (เสงี่ยม) การฝังเอากระดูกไปฝัง เวลาฝังขุดพบกระดูก ไม่ทราบว่าเป็นกระดูกของใคร จึงได้ย้ายกระดูกนั้นไปฝังที่วัดเนินซึ่งเป็นวัดในตัวจังหวัดแต่ดูเหมือนจะร้างไปแล้ว บัดนี้ ไม่มีผู้ใดทราบที่ฝังแน่นอน แต่ไปเซ่นไหว้โดยยึดเอาจุดหนึ่งเป็นฮวงจุ้ยอีกแห่งหนึ่งที่ไปเซ่นไหว้เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีฮวงจุ้ยที่ตำบลวัดป่า (ในตัวจังหวัดชลบุรี) ที่ไปไหว้ แต่ก็ไม่มีใครทราบว่าฝังใครและเรื่องเป็นมาอย่างไร แต่ไปเซ่นไหว้กันเรื่อยมาที่ตั้งฮวงจุ้ยก็ไม่ทราบเป็นที่แน่นอน มีที่สังเกตเป็นมูลดิน เดี๋ยวนี้ที่ตรงนั้นก็มีผู้ถือกรมสิทธิ์แล้ว แต่เป็นผู้ที่รู้จักชอบพอกัน

ประเพณีไหว้ฮวงจุ้ยนี้ หากพิจารณาโดยถ่องแท้แล้ว เห็นได้ว่ามีประโยชน์เพราะเป็นการเตือนใจให้ลูกหลานทุกคนระลึกถึงพระคุณของผู้บุพพการี ให้คิดถึงวงศ์ตระกูลเป็นกำลังน้ำใจให้ประกอบกรรมที่ดีละเว้นกรรมที่ชั่ว ทำให้บรรดาผู้ที่อยู่ในตระกูลซึ่งนับวันจะมีมากและห่างกันออกไปทุกที ได้มีโอกาสพบปะสนทนากันอย่างน้อยปีละครั้ง และให้ผู้ที่อยู่ในตระกูลมีที่ยึดเหนี่ยวรักใคร่ร่วมสามัคคีกัน ด้วยเห็นถึงเหตุดังกล่าวแล้วนี้ พวกตระกูลโปษยานนท์จึงได้ถือปฏิบัติโดยเคร่งครัดตลอดมา

โครงการปรับปรุง
192520jan2520062520118ฮวงจุ้ยทั้งสามแห่งของเจ้าสัวล่อแช ของหลวงวารีราชาประยุกต์ และของท่านเจ้าคุณพระยาพิพัฒนธนากร ซึ่งได้ก่อสร้างมานานได้ชำรุดทรุดโทรมมาก เฉพาะอย่างยิ่งของเจ้าสัวล่อแช ซึ่งมีอายุกว่า 150 ปี และวัสดุที่ใช้กับคุณภาพการก่อสร้างก็ไม่ได้เท่าในปัจจุบัน ส่วนอีกสองฮวงจุ้ย (ล่าง) ก็เริ่มชำรุดทรุดโทรมมาก เนื่องจากมีน้ำซึมและอุ้มน้ำชื้นและตลอดเกือบทั้งปี
คณะกรรมการมูลนิธิโปษยานนท์ โดยความเห็นชอบของผู้สืบตระกูลทุกคน จึงมีมติให้ซ่อมบำรุง ฮวงจุ้ยทั้งสามให้มั่นคงแข็งแรง สวยงาม เพื่อเป็นสิ่งผู้มีจิตใจของผู้สืบสกุลต่อไปชั่วกาลนาน ดังนี้
ก. ให้หาผู้รู้เกี่ยวกับ การก่อสร้างและพิธีกรรมต่างๆ มา เช่น ผู้ให้คำปรึกษาและชี้นำวิธีการก่อสร้างให้ถูกต้องตามศาสตร์
ข. ให้รักษารูปแบบและอนุรักษ์ของเดิมไว้
ค. ให้ปรับปรุงภูมิทัศน์ในบริเวณให้สวยงามกลมกลืนกับส่งก่อสร้างใหม่ให้มากที่สุด
ง. ได้มอบหมายให้นายธะเรศ โปษยานนท์ (รุ่น 5 อดีตกรรมการมูลนิธิฯ) เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการ

นายธะเรศ โปษยานนท์ (รุ่น 5) มีความมุ่งมั่นอย่างสูงที่จะทำงานที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุดได้จาก
ซินแส ผู้รู้เกี่ยวกับฮวงจุ้ย เป็นที่ปรึกษา ซินแสได้ให้ทำพิธีกรรมต่างๆ เพื่อขอขมาบุพการีเจ้าของฮวงจุ้ยทุกคนที่จะตรึงรื้อถอน หนึ่งในพิธีกรรม คือ ตรึงเอาเลือดของนายธะเรศไปฝังที่ฮวงจุ้ยจะรื้อถอน

img_3514
ได้เริ่มงานที่ฮวงจุ้ยของหลวงวารรีราชายุกต์ก่อน โดยได้รื้อถอนส่วนก่อสร้างภายนอกออกทั้งหมด จนถึงซองบรรจุศพ จากนั้นจึงทำรากฐานทุกส่วนให้มั่นคงแข็งแรงกว่าเดิม และงานแต่งด้วยหินขัด พร้อมด้วยลวดลายจีนอย่างสวยงาม แล้วเสร็จเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2550
นอกจากนั้น ยังทำระบบระบายน้ำบริเวณหน้าฮวงจุ้ย เพื่อไม่ให้ท่วมและบริเวณดังกล่าวต่อไป ส่วนงานปรับปรุงภูมิทัศน์ได้ขุดบ่อและตกแต่งบริเวณโดยรอบ พร้อมทั้งปลูกต้นไม้เพื่อความสวยงามด้วย รวมทั้งป้ายชื่อ “สุสานโปษยานนท์” เป็นการถาวร
หลังจากนั้นจึงได้เริ่มงานที่ฮวงจุ้ยของเจ้าสัวล่อแช ได้ดำเนินงานในลักษณะเดียวกันและได้อนุรักษ์ของเก่าทั้งหมดที่มาจากเมืองจีนและนำกลับมาใช้ตกแต่งใหม่ให้สวยงามยิ่งขึ้น การก่อสร้างได้แล้วเสร็จเมื่อเดือนมิถุนายน 2551
ส่วนของท่านเจ้าคุณพระยาพิพัฒนธนากร ได้แล้วเสร็จเมื่อเดือนมกราคม 2552
ในการปรับปรุงและการก่อสร้างของฮวงจุ้ยทั้งสาม ซินแสได้ปรับรูปลักษณ์ด้วยเครื่องมือทันสมัยให้ถูกต้องตามศาสตร์ของจีนและได้ปรับองศาป้ายชื่อหน้าฮวงจุ้ยทั้งสามให้ถูกต้อง ดังนี้
ของเดิม ตั้งใหม่
ฮวงจุ้ยเจ้าสัวล่อแช 130° sw 137.8° sw
ฮวงจุ้ยหลวงวารีราชายุกต์ 127° sw 131° sw
ฮวงจุ้ยท่านเจ้าคุณพระยาพิพัฒนธนากร 146° sw 147.2° sw
ศาลาโปษยานนท์ ศาลาที่อยู่ในบริเวณสุสานโปษยานนท์ ตำบลหนองเสือตาย ศาลานี้มีที่บรรจุอัฐิของลูกหลาน และยังเป็นที่ใช้ในการประกอบพิธีทางศาสนาและเซ่นไหว้ เช่นศาลาเก่าแก่ทรุดโทรมมาก คณะกรรมการมูลนิธิโปษยานนท์โดยความเห็นชอบของลูกหลานทุกคน จึงมีมติให้บูรณะปรับปรุง รูปลักษณ์และความคงทน เพื่อให้ใช้ประโยชน์ในอนาคตได้อีกยาวนาน โดยใช้งบประมาณจากมูลนิธิฯ รวมกัน เงินที่ได้รับบริจาคจากผู้ร่วมตระกูล และได้นายพีร์ โปษยานนท์ (รุ่น 6) เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ นายพีร์มีความรู้ทางด้านสถาปนิกได้ปรับรูปลักษณ์ของศาลาฯ โดยยกหลังคาให้สูงขึ้นกว่าเดิม และที่เก็บอัฐิให้เรียบร้อยสวยงามขึ้น ให้ควบคุมการออกแบบและก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อเดือนสิงหาคม 2555
การให้ความร่วมมือของผู้สืบตระกูลทุกคนในการพัฒนาและปรับปรุงสุสานโปษยานนท์ในครั้งนี้ เฉพาะอย่างยิ่ง นายชะเรศ และนายพิร์ แสดงถึงความกตัญญูต่อตระกูล ที่สมควรได้รับการสรรเสริญ ขอให้มีแต่ความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป

ประเพณีการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ

นอกจากบ้านโปษ์กี่แล้ว “สุสานโปษยานนท์” ยังเป็นสถานที่รวมชีวิตจิตใจของทุกคนที่อยู่ในสกุลนี้ ให้สามารถมาร่วมกันแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษและได้พบปะสังสรรค์กับผู้ร่วมตระกูลกันอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ในวันที่ 22 ธันวาคมของทุกๆปี

“สุสานโปษยานนท์” อยู่ที่จังหวัดชลบุรี ที่ตำบลหัวโกรก เป็นฮวงซุ้ยที่บรรจุศพแบบจีนของเจ้าสัวล่อแช และคุณอิ่ม (ภรรยา) กับอีกแห่งหนึ่งที่ตำบลหนองเสือตาย เป็นฮวงซุ้ยแบบจีนเช่นกัน แต่เดิมมีอยู่ 2 ฮวงซุ้ย ซึ่งบรรจุศพของหลวงวารีราชายุกต์ (โป๊) และคุณเสงี่ยม (ภรรยา) กับของพ.อ.ต.พระยาพิพัฒธนากรและภรรยา ส่วนฮวงซุ้ยใหม่ที่ได้สร้างขึ้นสมัยรุ่น 4 บรรจุศพของ นายพิพัฒน์และอัฐิของคุณลินจง (ภรรยา) ส่วนสถูป 3 องค์ บรรจุอัฐิของนายฮง และ ภรรยา หลวงวารีราชายุกต์ (ซิว) และภรรยา และต้นตระกูลภัทรนาวิก คือ พระยาภักดีภัทรากร (เกซัว ภัทรนาวิก) และคุณหญิงเอม ซึ่งเป็นบิดามารดาของนางเสงี่ยม ภรรยาของหลวงวารีราชายุกต์ (โป๊) และเป็นมารดาของ ม.อ.ต. พระยาพิพัฒนธนากร

ความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษของตระกูล คือ การเคารพเซ่นไหว้บรรพบุรุษเป็นประจำทุกปีมิได้ขาด ซึ่งทุกคนในตระกูลจะต้องทำตัวให้ว่างไว้ประมาณ 7 วันของกิจกรรมอันสำคัญนี้ ถึงแม้แต่ลูกหลานที่ยังเยาว์อยู่พ่อแม่ก็ต้องพาไปและใครก็ตามหากขาดกิจกรรมนี้ก็จะโดนตำหนิจาก ม.อ.ต. พระยาพิพัฒนธนากร และญาติผู้ใหญ่

สมัยก่อนการคมนาคมยังไม่สะดวก การเดินทางไปจังหวัดชลบุรีต้องใช้เรือใบหรือเรือแจว และต่อมาก็ได้เปลี่ยนมาเป็นเรือกลไฟ จุดเริ่มเดินทางคือที่ท่าน้ำบ้านโปษ์กี่ โดยใช้เวลาเดินทางเกือบทั้งวันกว่าจะถึงจังหวัดชลบุรี ทั้งเหนื่อยและเมาคลื่นทะเล ถึงแม้ว่าการเดินทางจะอยู่ในช่วงวัน “สารทตั้งเจ้ย” หรือไทยเรียกว่า “สารทขนมอี๋” ซึ่งตรงกับวันที่ 22ธันวาคม และในช่วงของเวลาดังกล่าว คลื่นทะเลในอ่าวไทยสงบที่สุดจึงได้เลือก สารทตั้งเจ้ย แทนสารทเช็งเหม็ง ซึ่งตรงกับวันที่ 5 เมษายน ซึ่งชาวจีนนิยมไปเซ่นไหว้ฮวงซุ้ยตามประเพณี

เมื่อถึงเมืองชลบุรีแล้วก็ต้องต่อเรือเล็กเพื่อเข้าฝั่งที่สะพานศาลเจ้า และเข้าพักที่บ้านคุณหลวงบำรุงราชนิยม
(สุ้นเป็ง สิงคาลวณิช) ซึ่งเป็นเพื่อนรักสนิทดังญาติของ ม.อ.ต. พระยาพิพัฒนธนากร พวกเราทุกคน (ทายาทรุ่น 4) เรียกท่านว่า “คุณเตี่ย” ซึ่งได้กรุณาให้ที่พักและอาหารทุกมื้อกับคณะกว่า 20 คน นอกจากนั้นยังจัดเครื่องเซ่นไหว้ฮวงซุ้ยและอำนวยความสะดวกทุกอย่างตลอดทุกปี เป็นพระคุณอย่างยิ่งกับตระกูลโปษยานนท์ ซึ่งลูกหลานทุกคนควรต้องจดจำต่อไปชั่วชีวิต

หลังจากที่ได้พักผ่อนจากการเดินทางพอสมควรแล้ว วันรุ่งขึ้นก็จะเป็นวันแรกของประเพณีเซ่นไหว้และจะมีการปฏิบัติตามลำดับ ดังนี้

1.วันแรก จะเซ่นไหว้ฮวงซุ้ยหน้าเมืองริมคลองบางปลาสร้อย ข้างสถานีตำรวจในจังหวัดชลบุรี ห่างจากที่พักประมาณ 2 กิโลเมตร ต้องเดินกันไปเป็นขบวน ฮวงซุ้ยนี้ไม่ทราบแน่นอนว่าเป็นของใคร เพียงแต่คุณหลวงบำรุงราชนิยมได้เล่าให้ฟังว่าเป็นที่บรรจุอฐิของญาติของ คุณเสงี่ยมภรรยาของหลวงวารีราชายุตก์ มารดาของ ม.อ.ต. พระยาพิพัฒนธนากร

2. วันที่สอง ต้องออกเดินทางตั้งแต่เช้า ญาติผู้ใหญ่ใช้เกวียนและม้า ส่วนวัยรุ่นทั้งหลายต้องเดินไปบนทางเกวียน ระยะทางจากที่พักประมาณ 5 กิโลเมตร จุดแรกที่หยุดพักคือ ฮวงซุ้ยล่าง ที่ตำบลหนองเสือตาย แล้วจึงเดินทางต่อไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร ไปยังฮวงซุ้ยบน ที่ตำบลหัวโกรก ซึ่งเป็นฮวงซุ้ยของบรรพบุรุษเจ้าสัวล่อแชและภรรยา และฮวงซุ้ยของซินแสจินเต็ก ซึ่งเสียชีวิตระหว่างก่อสร้างฮวงซุ้ยบน รวมทั้งของจีนเก่งซึ่งเป็นเจ้าของที่เดิม หลังจากทำพิธีเซ่นไหว้เสร็จก็ต้องรีบเดินกลับมาที่ฮวงซุ้ยล่าง ที่ตำบลหนองเสือตายเพื่อเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่เหลือต่อไป

3.ถ้ามีเวลาเหลือก่อนเดินทางกลับ ก็จะแวะที่ศาลเจ้าเจียงกัวแป๊ะ ซึ่งเป็นที่ชาวบ้านเคารพนับถือ เพื่อขอพรก่อนเดินทางกลับที่พักด้วยความอิ่มใจที่เราได้มีโอกาสระลึกถึงพระคุณของผู้เป็นบุพการี และด้วยความกตัญญูที่ได้ให้เราได้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในตระกูลโปษยานนท์ ส่วนวันที่เหลือก็จะใช้ในการพบปะสังสรรค์กับญาติ มิตร ที่จังหวัดชลบุรี และพักผ่อน ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ

ในปัจจุบัน ได้มีการพัฒนาทางด้านการคมนาคมในประเทศอย่างกว้างขวาง สามารถเดินทางสู่ “สุสานโปษยานนท์” ได้อย่างสะดวกสบาย กิจกรรมดังกล่าวข้างต้น จึงสามารถดำเนินการได้ภายในหนึ่งวัน ซึ่งในตอนเช้าสามารถทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ในตอนสายมีพิธีทางสงฆ์เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษและญาติแล้วเสร็จ ในตอนเที่ยงลูกหลานได้รับประทานอาหารกลางวันและสังสรรค์ร่วมกันก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับในตอนบ่าย

IMG_2071_ret10_H540

ประวัติบ้านโปษ์กี่

บ้านอันเป็นมงคลหลังนี้ เจ้าสัวล่อแชเป็นผู้สร้างขึ้นเมื่อใดนั้นไม่ได้ปรากฏในตำนาน แต่คาดว่าคงจะมีอายุเกิน 150 ปี และเป็นมงคลตกทอดมายังลูกชายคนโตของเจ้าสัวล่อแช คือ หลวงวารีราชายุกต์ (โป๊) และต่อมาจึงตกทอดไปยังลูกชายของหลวงวารีราชายุกต์ (โป๊)ทั้งสองคน คือ ฮง และหลวงวารีราชายุกต์ (ซิ่ว) ตามลำดับ ซึ่งลูกชายทั้งสองได้เสียชีวิตไปก่อน บ้านโปษ์กี่จึงได้ตกทอดมายังลูกชายคนเล็ก คือ มหาอำมาตย์ตรีพระยาพิพัฒนากร (ฉิม)

ชื่อบ้าน “โปษ์กี่” เจ้าสัวล่อแซเป็นผู้ตั้งซึ่งมีความหมายในภาษาจีนลึกซึ้งมากคือ
“โปษ” มาจากคำว่า “โป๊ว” มีความหมายว่า ประเสริฐสุด ล้ำค่า
“กี่” มีความหมายว่า สิ่งที่เป็นมงคลควรจดจำ
ฉะนั้นคำว่า“โปษ์กี่” จึงมีความหมายรวมกันว่า “บ้านที่เป็นมงคล มีมูลค่าล้ำเลิศอันควรจดจำ”IMG_2071_ret10_1000

หลังจากกิจการค้าขายในประเทศได้เจริญรุ่งเรืองมาพอสมควร เจ้าสัวล่อแชจึงได้ทำการค้าขายกับประเทศจีนโดยส่งสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยไปขายโดยเรื่อสำเภาขนาดใหญ่ ในเที่ยวกลับก็ได้ขนวัสดุก่อสร้าง และสินค้าอื่นๆ เพื่อเป็นอับเฉากันเรือโคลงมายังประเทศไทย วัสดุก่อสร้างส่วนหนึ่งได้ถูกนำมาใช้ในการก่อสร้าง “บ้านโปษ์กี่”

นอกจากวัสดุก่อสร้างส่วนใหญ่ที่มาจากประเทศจีนแล้ว การออกแบบ การควบคุมการก่อสร้าง แม้ะทั่งฤกษ์ยามต่างๆ ได้แก่ เวลาลงเสาเข็ม ยกอกไก่ ใส่บานประตูใหญ่ ก็ถูกกำหนดโดยช่างชาวจีนทั้งสิ้น

เรื่องหนึ่งตามตำนานได้เล่าว่า บานประตูใหญ่หน้าบ้านเป็นไม้ ออกแบบและก่อสร้างโดยช่างชาวจีน บานประตูไม่มีบานพับ แต่ใช้เดือยล่างและบนเป็นตัวยึด ช่างไม่สามารถยกประกอบเข้าที่ได้ ในที่สุดต้องกลับไปดูฤกษ์เวลาที่กำหนดไว้ จึงพบว่าช่างได้ทำก่อนเวลา 2 ชั่วโมง จึงต้องรอให้ถึงเวลา พอได้ฤกษ์เวลาจึงได้ยกบานประตูทั้งสองใส่ได้โดยสะดวก

บ้านโปษ์กี่เป็นบ้านแบบจีนขนาดใหญ่ มีผู้คนอาศัยกันกว่า 100 ชีวิตอย่างมีความสุข จนกระทั่งลูกหลานถึงปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่ได้แยกย้ายกันออกไปมีครอบครัวอยู่ภายนอกแล้ว ยังได้รับความเป็นศิริมงคลของบ้านโปษ์กี่ พร้อมด้วยคำสั่งสอนของบรรพบุรุษที่ได้ให้ไว้อันเป็นมรดกที่ล้ำค่าที่สุดในการดำรงชีวิตอย่างมีความสุขมาถึงลูกหลานจนถึงเจ็ดชั่วคน จนถึงทุกวันนี้ (พ.ศ. 2555)

ระหว่างที่บ้านโปษ์กี่อยูในความดูแลของ พระยาพิพัฒนธนากร ท่านได้ปลูกตึกใหม่เพิ่มเติมอีกหลัง และได้บำรุงรักษาบ้านโปษ์กี่ให้อยู่ในสภาพเดิมตลอดเวลา หลังจากสิ้นบุญของท่านแล้ว บ้านโปษ์กี่ก็ได้ตกทอดมาอยู่ในความดูแลของลูกชายท่านคือ ศาสตราจาย์พิพัฒน์ โปษยานนท์ ปัจจุบันอยู่ในความรับผิดชอบของนายธีรธัช โปษยานนท์ บุตรชายคนโตของ ศาสตราจาย์พิพัฒน์ โปษยานนท์

 

 

poshyanada-family-H540

ประวัติตระกูล

ประวัติความเป็นมา

 

ในสมัยรัชกาลที่ 3 ของกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีนโยบายเปิดประเทศเพื่อให้ชาวต่างชาติได้เข้ามาช่วยพัฒนาบ้านเมือง จึงมีชาวจีนจากโพ้นทะเลใต้หนีความยากจนเข้ามาในประเทศเป็นจำนวนมาก หนึ่งในจำนวนนั้นคือ “เจ้าสัวล่อแช แซ่กิม”

ตามประวัติที่จดจำสืบต่อกันมา เจ้าสัวล่อแช แซ่กิม (แซ่กิม เป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว แปลว่า “ทอง” หรือ “ทองคำ” ) ซึ่งเป็นต้นสกุลโปษยานนท์เกิดที่มณฑลกวางตุ้ง ตำบลโล่งโตว อำเภอเพ่งกุ้ย จังหวัดเตี้ยจิวฮู้ มีพี่น้อง 2 คน ครอบครัวประกอบอาชีพกสิกรรม เจ้าสัวล่อแชผู้น้องได้เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารประมาณปี พ.ศ. 2360 โดยเรือกำปั้นใบ

หลังจากได้เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยแล้ว นายล่อแชได้ทำงานด้วยความขยันหมั่นเพียร สามารถเก็บออมเงินได้จำนวนหนึ่งจึงได้ลงทุนซื้อเรือเพื่อใช้สำหรับการค้าขายตามสถานที่ต่างๆ ในจังหวัดใกล้เคียง ภายหลังได้พบกับนางสาวอิ่ม ที่จังหวัดอ่างทองจึงรับมาเป็นภรรยา และได้ช่วยกันค้าขายมีทุนทรัพย์พอสมควรจึงได้สร้างแพเป็นที่อยู่อาศัยจอดอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยาด้านฝั่งธนบุรีเหนือวัดทองธรรมชาติ และต่อมาได้ซื้อที่บริเวณที่แพจอดและสร้างบ้านริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา โดยตั้งชื่อว่า “โปษกี่”

เจ้าสัวล่อแชและนางอิ่มมีบุตรและธิดา รวม 5 คน ชื่อ ฉุน สุ่น แก้ว โป๊ และ เกี้ยม ต่อมาลูกหลานของทั้ง 5 ท่านได้สืบตระกูลและเกี่ยวดองกับหลายตระกูล เช่น โชติกเสถียร ปันยารชุน สารสิน บุนนาค ล่ำซำ หวั่งหลี บุลสุข จาติกวนิช เปาโรหิตย์ ลพานุกรม กอวัฒนา ณ สงขลา ภัทรนาวิก และ โปษยานนท์ เป็นต้น

สำหรับพระยาพิพัฒนธนากรนั้น ท่านเป็นบุตร พระยาพิพัฒนธนากร เป็นบุตรของหลวงวารีราชายุกต์ (โป๊ โปษยานนท์) มารดาชื่อท่านเสงี่ยม เป็นบุตรีพระยาภักดีภัทรากร (ตระกูลภัทรนาวิก) เกิดเมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2426 ณ บ้าน “โปษ์กี่” ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรี

poshya

ในวัยเยาว์ท่านได้รับการศึกษาเบื้องต้นจากจีนซินแสที่เจ้าสัวล่อแชจ้างมาสอนหนังสือจีนให้ที่บ้าน พออายุ 9 ขวบ ท่านก็ถูกส่งตัวไปเล่าเรียนในประเทศจีน ที่บ้านเอ้าเคยกิม ตำบลแต้จิ๋ว แต่เรียนได้แค่ 3 ปี ถึงพ.ศ. 2437 บิดาก็เรียกตัวกลับมาเมืองไทย เมื่ออายุ 12 ปี และเข้าเรียนต่อในโรงเรียนอัสสัมชัญ เมื่อออกจากโรงเรียนก็ไปฝึกทำงานที่ห้างบอเนียวกำปนี เป็นเวลา 1 ปี จนอายุครบ 20 ปี จึงลาออกมาอุปสมบท ในพ.ศ. 2446 ที่วัดทองนพคุณ
พอครบพรรษาก็สึกออกมาทำงานกับบิดาประมาณได้ 3 ปี เมื่อ พ.ศ. 2450 หม่อมเจ้าปิยะภักดีก็ให้คนมาตามท่านไปรับราชการที่กรมฝิ่น (กรมสรรพสามิต) ทรงแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้ากองคลังรักษาฝิ่น และควบคุมกองบรรจุฝิ่นใส่อับ ได้รับพระราชทานเงินเดือนเริ่มต้นเดือนละ 300 บาท โดยดำรงตำแหน่งสุดท้ายเป็นอธิบดี และได้รับพระราชทานยศเป็นมหาอำมาตย์ตรี พระยาพิพัฒนธนากร

จนกระทั่ง ในรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานนามสกุลนี้ให้หลวงพิพัฒนธนากร สังกัดกระทรวงมหาสมบัติ ว่า “โปษยานนท์” เป็นนามสกุลอันดับที่ 686 พระราชทานเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2456

นอกจากนี้ ตามคำบอกเล่าของบุตรและธิดาของท่าน ยังปรากฏผู้ที่ใช้นามสกุล “โปษยานนท์” ที่มิได้เกี่ยวดองทางสายโลหิตอีกสาย คือ ขุนโปษยานนท์นิพัทธ (นามเดิม ชื่อ สวน ไม่ปรากฏว่าบิดาและมารดาชื่อเสียงเรียงใด) ขุนโปษยานนท์นิพัทธนั้นเข้ารับราชการอยู่ในกรมฝิ่นและติดสอยห้อยตามท่านพระยาพิพัฒนธนากรมาตลอด เมื่อได้รับยศเป็น ขุนโปษยานนท์นิพัทธแล้ว นายสวนจึงได้ขออนุญาตจากท่านพระยาพิพัฒนธนากรใช้นามสกุลจากยศว่า “โปษยานนท์” โดยท่านพระยาพิพัฒนธนากรได้อนุญาตให้ใช้ ต่อมาขุนโปษยานนท์นิพัทธได้สมรสกับนางนิ่ม พำนักอยู่ตลาดน้อย และย้ายมาอยู่ละแวกสีลม หลังเกษียณราชการก็ประกอบอาชีพทำมาค้าขาย ซึ่งลูกหลานของขุนโปษยานนท์นิพัทธ มีความซาบซึ้งในความเมตตากรุณาของท่านพระยาพิพัฒนธนากรที่อนุญาตให้ใช้นามสกุลร่วมกับท่านหาอย่างหาที่สุดมิได้

มูลนิธิโปษยานนท์

img2_2มูลนิธิ ได้เริ่มก่อตั้งขึ้นโดย มหาอำมาตย์ตรี พระยาพิพัฒนธนากร (ฉิม โปษยานนท์) และได้ทำการ จดทะเบียน ที่ ศาลากลางจังหวัดชลบุรีเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2480 โดยมีผู้จัดการ 2 ทาน คือ พระยาพิพัฒนธนากร และหลวงบำรุงราชนิยม (สุ้นเบ้ง สิงคาลวนิช) มีที่ตั้งมูลนิธิ ที่บ้าน สิงคาลวนิช หมู่ที่ 14 สพานจีน ตำบลบางปลาสร้อย อำเภอ บางปลาสร้อย จังหวัดชลบุรี วัตถุประสงค์เพื่อเก็บรวบรวม และ จัดหารายได้ไว้ประกอบการกุศลและ การสาธารณะประโยชน์ เพื่อบำเพ็ญ และ อุทิศส่วนกุศลให้แก่ต้นตระกูล “โปษยานนท์” ซึ่งมีสถานที่ฝังศพอยู่ที่จังหวัดชลบุรี